การถ่ายทอดอิเล็กตรอนเกี่ยวข้องกับการสร้าง ATP อย่างไร


            กระบวนการถ่ายทอดอิเล็กตรอน เกิดขึ้นในเยื่อหุ้มชั้นในของไมโทคอนเดรีย
เป็นกระบวนการที่เกิดต่อเนื่องจากวัฏจักรเครบส์ แหล่งของอิเล็กตรอนคือ NADH และ FADH2
ซึ่งเมื่อถูกออกซิไดซ์ อิเล็กตรอนที่เกิดขึ้นจะถูกส่งต่อเป็นทอดๆ ผ่านตัวนำอิเล็กตรอนหลายตัว
ไปจนถึงปลายสุดของระบบ อิเล็กตรอนจะไปรีดิวซ์ O2 ให้เป็น H2O กระบวนการถ่ายทอด
อิเล็กตรอนในการหายใจ (respiration) นี้คล้ายกับที่เกิดขึ้นในกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง
ของพืชในขั้นตอนของปฏิกิริยาที่ใช้แสง ระหว่างการถ่ายทอดอิเล็กตรอนเป็นช่วงๆ จะเกิด
พลังงานอิสระซึ่งจะนำไปใช้ในการสร้าง ATP ด้วยกระบวนการที่เรียกว่าออกซิเดทีฟ
ฟอสโฟริีเลชัน (oxidative phosphorylation) การสร้าง ATP ในกระบวนการนี้
ไม่ใช่การสร้าง ATP โดยตรงแบบ substrate-level phosphorylation (ย้ายหมู่ฟอสเฟตของ
ซับสเตรตซึ่งเป็นสารพลังงานสูงให้ ADP) เหมือนที่สร้างจากวิถีไกลโคลิซีสและวัฏจักรเครบส์
แต่จะเป็นการสร้างแบบที่ต้องมีการเชื่อมโยงกับการออกซิเดชันในระบบถ่ายทอดอิเล็กตรอน
ซึ่งทำให้เกิดการปั๊มของโปรตอนผ่านเยื่อหุ้มชั้นในของไมโทคอนเดรีย  ดังที่จะได้อธิบายรายละเอียด
ในหัวข้อต่อไป



        
รูปที่ 4.1

แผนผังง่ายๆ ของการถ่ายทอดอิเล็กตรอน วัฏจักรเครบส์ส่งอิเล็กตรอน
ผ่านทาง NADH และ FADH2 เข้ามาในระบบถ่ายทอดอิเล็กตรอน
ระบบนี้จะให้พลังงานสำหรับการสร้าง ATP

 
            สัดส่วนใหญ่ของ ATP จากกระบวนการหายใจระดับเซลล์ (cellular respiration)
มาจากส่วนของออกซิเดทีฟ ฟอสโฟริีเลชัน


   : ท่านทราบไหมว่า เมื่อกลูโคสถูกออกซิไดซ์อย่างสมบูรณ์ให้เป็น CO2
      และ H2O จะได้ ATP จากกระบวนการออกซิเดทีฟ ฟอสโฟริเลชัน
     ในสัดส่วนเท่าไรของปริมาณที่จะได้ทั้งหมด

                                                             



            การถ่ายทอดอิเล็กตรอนจะเกิดขึ้นเป็นทอดๆ ผ่านตัวนำอิเล็กตรอน ซึ่งเป็นกลุ่มของ
โปรตีน (ซึ่งหลายตัวเป็นเอนไซม์) และมีโคเอนไซม์ และโคแฟคเตอร์หลายตัวรวมอยู่ด้วยกัน
กลุ่มโปรตีนเหล่านี้ ได้แก่ complex I, II, III และ IV ลำดับของการถ่ายทอดอิเล็กตรอนได้
แสดงไว้ในรูปที่ 4.2





         รูปที่ 4.2

แสดงให้เห็นการส่งอิเล็กตรอนเป็นช่วงๆ ในระบบถ่ายทอดอิเล็กตรอน
(electron transport system ซึ่งบางครั้งเรียกว่า electron transport
chain หรือ respiratory chain)

 
          องค์ประกอบของระบบถ่ายทอดอิเล็กตรอน คือ complex I, II, III และ IV ฝังตัว
อยู่บนเยื่อหุ้มชั้นในของไมโทคอนเดรีย (ดังแสดงในรูปที่ 4.3) นอกจากกลุ่มโปรตีน 4 กลุ่มนี้
ยังมีโคเอนไซม์ Q และ ไซโตโครม c (cytochrome c ) ซึ่งสามารถเคลื่อนที่ได้เพื่อช่วย
ในการถ่ายทอดอิเล็กตรอนระหว่างกลุ่มโปรตีน ดังกล่าว
 


   : NADH และ FADH2 ให้อิเล็กตรอนแก่ระบบถ่ายทอดอิเล็กตรอน
     เหมือนกันหรือต่างกันอย่างไร







         รูปที่ 4.3

แสดงให้เห็นถึงองค์ประกอบของระบบถ่ายทอดอิเล็กตรอนที่อยู่บน
เยื่อหุ้มชั้นในของไมโทคอนเดรีย

 

 

   : ท่านทราบไหมว่า H+ ในรูปนี้สื่อความหมายถึงอะไร

                                                       







         ไมโทคอนเดรีย เป็นโครงสร้างที่มีเยื่อหุ้ม 2 ชั้น ดังแสดงในรูปที่ 4.4 เยื่อหุ้มชั้นนอก
หุ้มรอบโครงสร้าง ส่วนเยื่อหุ้มชั้นในจะพับไปพับมา ส่วนที่พับเข้าไปเรียกว่า คริสตี้ (cristae)
องค์ประกอบทุกตัวที่ทำหน้าที่ถ่ายทอดอิเล็กตรอน และทำงานในกระบวนการ
ออกซิเดทีฟ ฟอสโฟริีเลชัน ล้วนแต่อยู่บนเยื่อหุ้มชั้นในของไมโทคอนเดรียทั้งสิ้น
กลุ่มโปรตีนและโคแฟคเตอร์เหล่านี้จะแทรกตัวอยู่ในเยื่อหุ้มชั้นใน (ที่มีองค์ประกอบเป็นไขมัน
หรือที่เรียกว่า lipid bilayer) ส่วนในสุดของไมโทคอนเดรียเรียกว่า แมทริกซ์ (matrix)
มีลักษณะเป็นเจล เป็นแหล่งที่มีเอนไซม์สำหรับวัฏจักรเครบส์ รวมทั้งสารอินทรีย์อื่นๆ
ที่ทำหน้าที่เป็นซับสเตรต โคแฟคเตอร์ รวมทั้งอิออนต่างๆ




         รูปที่ 4.4

ภาพขยายของไมโทคอนเดรียแสดงให้เห็นส่วนต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับ
กระบวนการหายใจ รูปขวาสุด เป็นรูปถ่ายจากกล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอน

 

 : ท่านทราบไหมว่า ทำไม ผนังชั้นในของไมโทคอนเดรียจึงต้องพับไปมา
   เป็น cristae
 : ท่านคิดว่าปริมาณของ cristae ในไมโทคอนเดรีย ในเซลล์แต่ละชนิด
   จะเท่ากันไหม เช่น ไมโทคอนเดรียจากเซลล์ตับ เซลล์กล้ามเนื้อ
   หรือหัวใจ
                                                               



                                                           




           การสร้าง ATP โดยวิธีการที่เรียกว่า ออกซิเดทีฟ ฟอสโฟริีเลชัน ในกระบวนการหายใจนี้ จะคล้ายกับ
ในเรื่องของการสังเคราะห์ด้วยแสง พลังงานที่ปลดปล่อยออกมาระหว่างการถ่ายทอดอิเล็กตรอนเป็นช่วงๆ
ในระบบถ่ายทอดอิเล็กตรอนจะนำไปใช้ในการปั๊มโปรตอน ( H+) ในที่นี้คือ จากส่วนแมทริกซ์ไปที่ช่องว่าง
ระหว่างเยื่อหุ้มชั้นในและชั้นนอกของไมโทคอนเดรีย โปรตอนจะสะสมอยู่ด้านนอกมาก และจะเกิดความ
แตกต่างของความเข้มข้นของ H+ ของทั้ง 2 ฝั่งมาก (proton gradient) สภาพเช่นนี้ทำให้ pH
ของด้านนอกต่ำกว่าของด้านใน (ประมาณ 1 หน่วย) และทำให้เกิดความต่างศักย์บนเยื่อหุ้ม คือเยื่อหุ้ม
ชั้นในทางด้านช่องว่างระหว่างเยื่อหุ้มเซลล์มีสภาพเป็นบวก และทางด้านแมทริกซ์มีสภาพเป็นลบ






         รูปที่ 4.5

ระหว่างการถ่ายทอดอิเล็กตรอน โปรตอน ( H+) ถูกปั๊มจากแมทริกซ์ ผ่าน
เยื่อหุ้มชั้นในออกไปด้านนอกที่ติดกับไซโตซอล
ความแตกต่างของโปรตอน ( proton gradient) ใน 2 ด้านของ
เยื่อหุ้มชั้นในหรือที่บางครั้ง เรียกว่า แรงขับเคลื่อนโปรตอน
( proton-motive force) จะถูกนำมาใช้ในการสร้าง ATP
โดยกระบวนการออกซิเดทีฟ ฟอสโฟริีเลชัน

 

          ถึงแม้ว่าจะมีปริมาณโปรตอนที่สะสมอยู่ในทางด้านนอกของเยื่อหุ้มชั้นในจะสูงกว่าทางด้าน
แมทริกซ์มากแต่เยื่อหุ้มนี้จะไม่ยอมให้ H+ ซึมผ่านกลับไปยังด้านแมทริกซ์โดยอิสระได้ตลอดทุกพื้นที่
ของเยื่อหุ้ม แต่ H+จะผ่านไปได้เฉพาะบริเวณจำเพาะที่อยู่บนเยื่อหุ้มชั้นในเท่านั้น ซึ่งช่อง (channel)
ที่ H+ ผ่านนี้เป็นส่วนหนึ่งของเอนไซม์ ATP synthase ที่กระจายอยู่ตลอดบนเยื่อหุ้มชั้นใน ขณะที่ H+
ผ่านช่องดังกล่าวเพื่อกลับสู่แมทริกซ์จะเกิดพลังงานที่ใช้สร้าง ATP ในขณะนั้นเลย



         รูปที่ 4.6

ภาพแสดงให้เห็นถึงกระบวนการออกซิเดทีฟ ฟอสโฟริีเลชัน และการสร้าง
ATP ซึ่งเชื่อมโยงกันด้วยการไหลของโปรตอนผ่านเยื่อหุ้มชั้นใน

 

         สรุปได้ว่า แหล่งพลังงานที่ใช้สร้าง ATP มาจากความแตกต่างของโปรตอนระหว่าง 2 ด้าน
ของเยื่อหุ้มชั้นในของไมโทคอนเดรีย



                                                                






         ทุกกลุ่มโปรตีนที่แทรกตัวอยู่ในเยื่อหุ้มชั้นในที่ทำหน้าที่เป็นตัวพาอิเล็กตรอนไม่ว่าจะเป็น complex I หรือ II หรือ III หรือ IV ประกอบด้วยโปรตีน (เอนไซม์) หลายตัวที่เกาะอยู่กับหมู่ ที่เรียกว่า prosthetic group
(โปรดคลิกเพื่อดูรายละเอียด) ที่สามารถถูกออกซิไดซ์และรีดิวซ์ได้ระหว่างการถ่ายทอดอิเล็กตรอน หมู่เหล่านี้
จำเป็นสำหรับการทำงานของเอนไซม์ เช่น FMN (flavin mononucleotide) ใน complex I
ซึ่งเป็นโคเอนไซม์ของเอนไซม์ NADH dehydrogenase

         นอกจากกลุ่มโปรตีน I, II, III และ IV ซึ่งแทรกตัวอยู่ในเยื่อหุ้ม ยังมีองค์ประกอบอีก 2 ตัว ที่อยู่บน
เยื่อหุ้มชั้นในแต่สามารถเคลื่อนที่ไปมาได้ คือ โคเอนไซม์ Q (ไม่ใช่โปรตีน เป็นสารโมเลกุลเล็กที่มี
สูตรโครงสร้างที่ทำให้ละลายในไขมันได้ดี (โปรดคลิกเพื่อดูสูตรโครงสร้าง) ซึ่งจะทำหน้าที่รับอิเล็กตรอน
จาก NADH ผ่านทาง complex I และรับอิเล็กตรอนจาก FADH2 ผ่านทาง complex II
เพื่อส่งให้ complex III ต่อ องค์ประกอบอีกตัวคือ ไซโตโครม c (cytochrome c) ซึ่งเป็นโปรตีน
ที่มีฮีม (heme) เปรียบได้เหมือนกับฮีโมโกลบินที่เป็นโปรตีนในเม็ดเลือดแดง แต่ไซโตโครมนี้จะทำหน้าที่
ีรับอิเล็กตรอน ไม่ใช่รับ O2 เหมือนฮีโมโกลบิน โดยที่ไซโตโครม c จะรับอิเล็กตรอนจาก complex III
เพื่อส่งให้ complex IV ที่มีชื่อว่า ไซโตโครม ออกซิเดส (cytochrome oxidase) ซึ่งเป็นองค์ประกอบ
ตัวสุดท้ายของระบบถ่ายทอดอิเล็กตรอน ทำหน้าที่เป็นเอนไซม์ที่เร่งปฏิกิริยารีดักชันของ O2




         รูปที่ 4.7

แสดงการถ่ายทอดอิเล็กตรอน จาก NADH ผ่าน complex I และจาก
FADH2 ผ่าน complex II ไปยัง complex III และ complex IV
โดยมีโคเอนไซม์ Q และ ไซโตโครม c ซึ่งเคลื่อนที่ได้
้เป็นตัวช่วยรับอิเล็กตรอนระหว่าง complex

 

         ในแต่ละ complex จะมีการรับและให้อิเล็กตรอน (รีดักชันและออกซิเดชัน) และมีการ
ปั๊มโปรตอนผ่านเยื่อหุ้มชั้นในออกจากด้านแมทริกซ์ไปที่ช่องว่างระหว่างเยื่อหุ้มชั้นนอกและใน

         รายละเอียดของการถ่ายทอดอิเล็กตรอนแต่ละขั้นตอนที่เกิดต่อกันเป็นทอดๆ ตลอดระบบจาก
complex I ไปถึง complex IV มีดังแสดงในรูปที่ 4.8

 





         รูปที่ 4.8

แสดงให้เห็นถึงปฏิกิริยาออกซิเดชัน-รีดักชันในการถ่ายทอดอิเล็กตรอน
ผ่านแต่ละ องค์ประกอบของ complex I และ complex II ไปยัง
complex III และ IV

 

        ระบบถ่ายทอดอิเล็กตรอนไม่ได้เป็นตัวสร้าง ATP โดยตรง หน้าที่ของมันคือ นำอิเล็กตรอนที่ได้
จากสารอาหาร (ในรูปของ NADH และ FADH2) ไปยัง O2 ระหว่างการถ่ายทอดอิเล็กตรอนในแต่ละช่วง
จะเกิดพลังงานอิสระในปริมาณมากพอที่จะนำไปสร้าง ATP เพื่อที่จะให้เข้าใจถึงกลไกนี้ เราจะไปศึกษา
รายละเอียดของการส่งอิเล็กตรอนในแต่ละองค์ประกอบของระบบถ่ายทอดอิเล็กตรอน

กลไกการถ่ายทอดอิเล็กตรอนอาจแบ่งได้เป็น 4 ช่วง



  1) NADH ส่งอิเล็กตรอนให้ complex I




         รูปที่ 4.9

การถ่ายทอดอิเล็กตรอนจาก NADH ให้โคเอนไซม์ Q ผ่าน complex I

 

         อิเล็กตรอนจาก NADH จะเข้าสู่ระบบที่ส่วนของ complex I ที่มีชื่อว่า NADH-Q-oxidoreductase
( บางครั้งเรียกว่า NADH dehydrogenase complex) ซึ่งเป็นกลุ่มเอนไซม์ที่มี FMN และ Fe-S เป็นหมู่
prosthetic และเร่งปฏิกิริยาการส่งอิเล็กตรอนจาก NADH ไปยังโคเอนไซม์ Q

ปฏิกิริยาใน complex I เกิดเป็นขั้นตอนดังนี้

    1. NADH จะเข้าไปเกาะกับ complex I และส่งอิเล็กตรอน 2 ตัว ให้แก่ FMN ทำให้
        FMN ถูกรีดิวซ์กลายเป็น FMNH2

   2. FMNH2 ให้อิเล็กตรอนต่อแก่ Fe-S ซึ่งเป็นกลุ่มของเหล็กและซัลเฟอร์หลายตัว
       (คลิกเพื่อดู โครงสร้าง) ซึ่งสถานะของ Fe ใน Fe-S จะเป็น Fe2+ เมื่อถูกรีดิวซ์ (รับอิเล็กตรอน)
       และเป็น Fe3+ เมื่อถูกออกซิไดซ์ (ให้อิเล็กตรอน)

   3. Fe-S จะให้อิเล็กตรอนแก่โคเอนไซม์ Q (Q ถูกรีดิวซ์กลายเป็น QH 2) การไหลของอิเล็กตรอน
       2 ตัว จาก NADH ไป โคเอนไซม์ Q ทำให้เกิดปั๊มของโปรตอน ( H+) 4 ตัว จากด้านในคือ        แมทริกซ์ผ่านเยื่อหุ้มชั้นในออกไปที่ส่วนของช่องว่างระหว่างเยื่อหุ้มชั้นในและชั้นนอกของ
      ไมโทคอนเดรีย


 สรุปปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นในขั้นตอนนี้ คือ

NADH + Q + 5 H+matrix      N AD+ + QH 2 + 4 H+cytosol

         Q หมายถึง โคเอนไซม์ Q



   2) FADH2 ส่งอิเล็กตรอนให้ complex II






         รูปที่ 4.10

การถ่ายทอดอิเล็กตรอนจาก FADH2 ให้โคเอนไซม์ Q ผ่าน complex II

 

        FADH2 ถูกสร้างขึ้นในวัฏจักรเครบส์จากการออกซิไดซ์ succinate ให้เป็น fumarate โดย succinate
dehydrogenase ซึ่งเอนไซม์ตัวนี้เป็นส่วนหนึ่งของ succinate-Q-reductase หรือ complex II ในการนี้
FADH2 ที่เกิดขึ้นจะไม่หลุดออกจากเอนไซม์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ complex II และจะส่งอิเล็กตรอน 2 ตัว
จากโมเลกุลไปให้กลุ่ม Fe-S โดยตรง ซึ่ง Fe-S ก็จะส่งต่อให้โคเอนไซม์ Q (ทำนองเดียวกันกับที่เกิดขึ้นใน
complex I) แต่ complex II จะต่างจาก complex I ตรงที่ไม่มีการปั๊มโปรตอน ( H+) ผ่านเยื่อหุ้ม ทั้งนี้เพราะ
พลังงานอิสระที่เกิดขึ้นจากปฏิกิริยาจะน้อยกว่าที่จะทำได้ ดังนั้น ปริมาณ ATP ที่จะสร้างขึ้นได้จากการ
ออกซิไดซ์ FADH2 จะน้อยกว่าของ NADH


3) อิเล็กตรอนถูกถ่ายทอดจากโคเอนไซม์ Q ผ่าน complex III ไปยังไซโตโครม c




         รูปที่ 4.11

การถ่ายทอดอิเล็กตรอนจากโคเอนไซม์ Q ให้ไซโตโครม c ผ่าน complex III

 

        complex III คือ Q-cytochrome c oxidoreductase บางครั้งเรียกว่า cytochrome b c1 complex
เพราะ ประกอบด้วยไซโตโครม 2 ชนิด คือ b และ c1 (ซึ่งมี heme ที่มี Fe) และยังมีกลุ่มโปรตีน Fe-S
เกาะอยู่ด้วย

        หน้าที่ของ complex III หรือ cytochrome reductase คือจะรับอิเล็กตรอน (2 ตัว) จากโคเอนไซม์ Q
(QH2) และส่งต่อไปยัง cytochrome c  และในขณะเดียวกันก็ปั๊มโปรตอน ( H+) ผ่านเยื่อหุ้มออกไปด้านนอก

        ในการถ่ายทอดอิเล็กตรอนจากโคเอนไซม์ Q ไปยัง complex III นั้นโคเอนไซม์ Q จะถูกออกซิไดซ์
และรีดิวซ์ (Q และ QH2) สลับกันเป็นวัฏจักรที่เรียกว่า Q cycle ( คลิกเพื่อดูรายละเอียด)



สรุปปฏิกิริยารวมที่เกิดขึ้นคือ

                 QH 2 + 2 Cyt ox + 2 H+matrix     Q + 2 Cyt c red + 4 H+cytosol

 


  4) อิเล็กตรอนถูกส่งจากไซโตโครม c ไปยัง O2 ผ่าน complex IV






         รูปที่ 4.12

complex IV รับอิเล็กตรอนจากไซโตโครม c และถ่ายทอดไปยัง O 2

 

        complex IV คือ ไซโตโครม ออกซิเดส (cytochrome oxidase complex) หรือ cytochrome a a3
ประกอบด้วย heme A 2 ชนิดคือ a และ a3 ซึ่งเป็นฮีมที่มีทองแดง (Cu) เป็นองค์ประกอบ complex IV
จะรับอิเล็กตรอนมาจากไซโตโครม c และส่งต่อให้ O2 อิเล็กตรอน 4 ตัว จะถูกส่งไปยังโมเลกุลของ O2
เพื่อรีดิวซ์ O2 ให้เป็น H2O ปฏิกิริยานี้เกิดพลังงานอิสระในปริมาณมากสำหรับปั๊มโปรตอนจากด้านแมทริกซ์
ผ่านเยื่อหุ้มชั้นในออกไปด้านที่ติดกับไซโตซอล ซึ่ง proton gradient ที่เกิดขึ้นนี้ถูกนำมาใช้ในการสร้าง ATP

        ปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นมีดังแสดงในรูป 4.12 คือ Fe2+ ในไซโตโครม c (ในรูปรีดิวซ์) 2 โมเลกุลส่งอิเล็กตรอนให้ Cu ของไซโตโครม a  ซึ่งจะส่งต่อให้ Cu ของไซโตโครม a3 ซึ่งจะเป็นตัวส่งอิเล็กตรอนต่อให้ O2

รวมปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นในขั้นตอนนี้คือ

4 Cyt c red + 8 H+matrix + O 2             4 Cyt c ox + 2 H 2O + 4 H+cytosol

    

 โดยสรุปกระบวนการถ่ายทอดอิเล็กตรอนและออกซิเดทีฟ ฟอสโฟริีเลชัน มีดังรูปที่ 4.13





         รูปที่ 4.13

ภาพสรุปการถ่ายทอดของอิเล็กตรอนจาก NADH ที่เกิดควบคู่กับ
ออกซิเดทีฟ ฟอสโฟริีเลชัน เพื่อสร้าง ATP
คลิกเพื่อดูรายละเอียดของ
ศักยภาพในการรีดิวซของกระบวนการถ่ายทอดอิเล็กตรอน

 










        การถ่ายทอด 2 อิเล็กตรอนจาก NADH หรือ FADH2 ไปยังโมเลกุลของ O2ทำให้เกิด
พลังงานอิสระเท่ากับ -53 และ -36 kcal /mol ตามลำดับ กระบวนการออกซิเดทีฟ ฟอสโฟริีเลชัน
จะจับพลังงานนี้ไว้ในรูปของฟอสเฟตพลังงานสูงของ ATP

      NADH + O 2 + H+      H2O + NAD+   G ํ = -53 kcal/mol



        การที่กระบวนการออกซิเดทีฟ ฟอสโฟริเลชัน จะเกิดขึ้นได้นั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยที่สำคัญ 2 อย่างคือ
ประการแรก เยื่อหุ้มชั้นในของไมโทคอนเดรีย จะต้องมีลักษณะที่ยอมให้ H+  ผ่านจากภายนอกเข้ามา
ภายในแมทริกซ์ได้โดยกระบวนการที่ต้องควบคู่กับการสร้าง ATP เท่านั้น ประการที่สอง ความเข้มข้น
ของโปรตอนด้านนอกเยื่อหุ้มชั้นในจะต้องสูงกว่าภายในแมทริกซ์มาก (คือ เกิด proton gradient หรือ
proton-motive force)





         รูปที่ 4.14

แสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่างการปั๊มของโปรตอนผ่านเยื่อหุ้มชั้นใน
จากแมทริกซ์ไปยังช่องว่างด้านนอกที่ทำให้เกิดความแตกต่าง
ของปริมาณโปรตอนใน 2 ด้านของเยื่อหุ้มและการที่โปรตอนไหลกลับ
ผ่านทางช่องจำเพาะของ ATP synthase ทำให้เกิดการสร้าง ATP

 

       โปรตอนจะไหลกลับเข้ามาในส่วนแมทริกซ์ ผ่านทางโปรตีนที่ฝังอยู่บนเยื่อหุ้มชั้นใน โปรตีนตัวนี้คือ
ATP synthase ( หรือบางทีเรียกว่า complex V) ATP synthase เป็นเอนไซม์ ประกอบด้วยหน่วยย่อย
หลายหน่วย กลุ่มหนึ่งของหน่วยย่อยทำหน้าที่เป็นช่องให้ H+ ผ่าน อีกกลุ่มหนึ่งทำหน้าที่จับกับ ADP และ
Pi เพื่อสร้าง ATP



แรงขับเคลื่อนโปรตอนทำให้เกิดการสร้าง ATP

       ระบบถ่ายทอดอิเล็กตรอน และการสร้าง ATP โดย ATP synthase นั้น เป็นคนละระบบแต่เกิดควบคู่กัน
โดยมีแรงขับเคลื่อนโปรตอน (หรือ proton gradient) เป็นตัวเชื่อมโยง

       Peter Mitchell ซึ่งเป็นนักวิทยาศาสตร์รางวัลโนเบลใน คศ.1961 ได้ตั้งสมมุติฐาน chemiosmotic
เพื่ออธิบายการสร้าง ATP ในไมโทคอนเดรีย โดยกระบวนการออกซิเดทีฟ ฟอสโฟริเลชัน

       การส่งอิเล็กตรอนต่อเป็นทอดๆ ในระบบถ่ายทอดอิเล็กตรอนให้เกิดการปั๊มของโปรตอน
จากข้างในแมทริกซ์ผ่านเยื่อหุ้มชั้นในออกไปสู่ด้านไซโตซอลของเยื่อหุ้มชั้นใน (H+ ถูกปั๊มผ่าน
เยื่อหุ้มขณะที่มีอิเล็กตรอนไหลไปตามระบบถ่ายทอดอิเล็กตรอน) ส่งผลให้ความเข้มข้นของ H+
ใน 2 ด้านของเยื่อหุ้มต่างกัน คือทางด้านแมทริกซ์จะต่ำ และด้านช่องว่างระหว่างเยื่อหุ้มจะสูง
และเกิดความต่างศักย์ที่เยื่อหุ้ม โดยทางด้านแมทริกซ์จะเป็นลบ ทางด้านช่องว่างระหว่างเยื่อหุ้มเป็นบวก
สมมุติฐานนี้เรียกว่า chemiosmotic hypothesis (ปฏิกิริยาเคมีเกิดควบคู่กับ osmotic gradient)
กล่าวคือ แรงขับเคลื่อนโปรตอน (proton-motive force) จะทำให้เกิดการสร้าง ATP โดยเอนไซม์
ATP synthase ในสมมุติฐานนี้ การออกซิเดชัน และ ฟอสโฟริีเลชัน (เติมหมู่ฟอสเฟต) เกิดขึ้นพร้อมกัน
โดยมีแรงขับเคลื่อนโปรตอนเป็นตัวเชื่อมโยง แรงขับเคลื่อนโปรตอนนี้เกิดขึ้นเนื่องจาก 2 ปัจจัย ดังแสดง
ในรูป คือเกิดเนื่องจากความต่างศักย์ที่เยื่อหุ้มชั้นใน (V) และเนื่องจากความแตกต่างของโปรตอน
ใน 2 ด้านของเยื่อหุ้ม ( pH) ในกรณีของไมโทคอนเดรีย แรงขับเคลื่อนโปรตอนจาก V จะมากกว่า
จาก pH





         รูปที่ 4.15

electrochemical gradient หรือ แรงขับเคลื่อนโปรตอนผ่านเยื่อหุ้มชั้นใน
ของไมโทคอนเดรีย มาจากแรง 2 ชนิด คือ ความต่างศักย์ที่เยื่อหุ้ม
( V) และความแตกต่างของความเข้มข้นของ H+ ( pH)
แรงทั้ง 2 อย่างนี้ จะรวมกันเกิดเป็นแรงขับเคลื่อนโปรตอน เพื่อนำ H+
ผ่านเยื่อหุ้มชั้นในกลับไปยังแมทริกซ์ เพื่อให้เกิดการสร้าง ATP โดย ATP synthase

 







       ATP synthase ประกอบไปด้วย 2 ส่วน มีชื่อเรียกว่า Fo และ F1 โดยที่ส่วน Fo ที่ทำหน้าที่
ลำเลียงโปรตอน (จากด้านนอกของเยื่อหุ้มชั้นในเข้ามาในแมทริกซ์ขณะที่มีการสร้าง ATP)
และส่วน F1 ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาสร้าง ATP (catalytic unit)

       หน่วย Fo แทรกอยู่ในเยื่อหุ้มชั้นใน ประกอบด้วยหน่วยย่อยหลายหน่วยเรียงตัวกันในลักษณะ
ที่ทำให้เกิดเป็นช่อง (channel) สำหรับโปรตอนผ่าน หน่วย Fo นี้สามารถหมุนได้ ซึ่งจะหมุนต่อเมื่อ
มี H+ ผ่านเยื่อหุ้มชั้นในจากด้านนอกเข้าไปในแมทริกซ์ สำหรับ F1 ซึ่งเป็นส่วนที่อยู่กับที่ เป็นส่วนที่ยื่น
จากเยื่อหุ้มออกมาในแมทริกซ์ หน่วย F1 ต่อกับหน่วย Fo ด้วยโปรตีนแท่งกลาง
(มี 2 หน่วยย่อย ชื่อ และ ) F1 ประกอบด้วยหน่วยย่อย 9 หน่วย โดยจะมีหน่วยย่อยที่ชื่อ จำนวน 3 หน่วย ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาการสร้าง ATP จาก ADP และ Pi






         รูปที่ 4.16

โครงสร้างของเอนไซม์ ATP synthase
รูปทางซ้าย : เป็นรูปจำลองอย่างคร่าวๆ ของเอนไซม์ ATP synthase
ส่วน Fo ฝังอยู่ในเยื่อหุ้มชั้นใน ทำหน้าที่เป็นช่องให้ H+ ผ่าน
ส่วน F 1 ทำหน้าที่เป็นบริเวณเร่งให้ ADP + Pi   ATP
ขณะที่ H+ เคลื่อนที่ผ่านช่องใน F o ตัว Fo จะหมุนได้ส่งผลให้โปรตีน
แท่งกลางที่เชื่อมต่อระหว่างส่วน Fo และ F1 คือโปรตีน หมุนได้
และส่งผลต่อไป ทำให้โครงสร้างสามมิติของหน่วย
ย่อยบริเวณเร่งเปลี่ยนไปจนมีการสร้างและปล่อย ATP ออกมาได้
รูปทางขวา : เป็นรูปวาดให้ง่ายขึ้นของภาพสามมิติของ ATP synthase ซึ่งได้จากการศึกษาทางรังสีเอ็กซ์

 

       ตามทฤษฎีของ Paual Boyer ในการสร้าง ATP นั้น 3 หน่วยย่อยที่ชื่อ จะเป็นตัวจับกับ ADP
และ Pi ได้ทั้ง 3 หน่วย แต่จะเกิดการสร้าง ATP และปล่อยออก ได้ทีละหน่วย กล่าวคือ หน่วย ทั้ง 3 หน่วยนี้
จะมีโครงสร้างสามมิติใน 3 แบบ คือ แบบ T (tight) แบบ O (open) และแบบ L (loose) การเปลี่ยนแปลง
รูปร่างจากแบบหนึ่งไปยังอีกแบบหนึ่ง ทำให้เกิดการเกาะกับ  ADP + Pi   การสร้าง ATP และการปล่อย ATP
แล้วก็กลับไปเริ่มเกาะกับ ADP , Pi ใหม่วนเวียนอยู่เช่นนี้

       หน่วยที่มีโครงสามมิติเป็นแบบ T จะเกาะกับ ATP ได้แน่นมาก ซึ่งทำให้หน่วยนี้สามารถเปลี่ยน ADP,
Pi ให้เป็น ATP แต่ไม่สามารถปล่อย ATP ออกไปได้

       หน่วยที่มีโครงสร้างสามมิติแบบ L สามารถเกาะกับ ADP , Pi ได้ แต่ไม่สามารถเปลี่ยนให้เป็น ATP ได้


       หน่วยที่มีโครงสร้างสามมิติแบบ O เป็นรูปแบบที่จะปล่อย ATP ออกไปจากตัวและสามารถจับ
กับ ADP + Pi ได้

       การเปลี่ยนโครงสร้างสามมิติเกิดขึ้นเนื่องจากการหมุนของโปรตีน ที่เชื่อมระหว่าง Fo และ F1
ไป 120 oC ไปในทิศทางทวนเข็มนาฬิกา (เมื่อมองจากด้านบน) และโปรตีน นี้จะหมุนได้ต่อเมื่อ
มีโปรตอนผ่านส่วน Fo ทั้งนี้โครงสร้างสามมิติของแต่ละหน่วยจะเปลี่ยนไปในทางที่สามารถทำงาน
ต่อเนื่องใน 3 ขั้นตอนของการสร้าง ATP ได้ ในการหมุนของโปรตีน 120 oC ทวนเข็มนาฬิกา หนึ่งครั้ง
จะมี ATP ถูกปล่อยไปหนึ่งตัว ดังแสดงในรูปที่ 4.17




         รูปที่ 4.17

การทำงานของเอนไซม์ ATPase ตามทฤษฎีของ Paual Boyer
ด้วยกลไก binding – change การหมุนของโปรตีน
(เนื่องจากมี H+ ไหลผ่าน) ทำให้หน่วย ทั้ง 3 หน่วย เปลี่ยนโครงสร้าง
สามมิติกลับไปมาใน 3 รูปแบบ คือแบบ T ที่มี ATP ที่สร้างใหม่
แต่ปล่อยออกไม่ได้ จะเปลี่ยนเป็นแบบ Oซึ่งปล่อย ATP ออกไป
และจับ ADP , Pi ตัวใหม่ และเปลี่ยนเป็นแบบ L เพื่อที่จะจับกับ ADP,
Pi ให้แน่นขึ้นเพื่อจะเริ่มการสร้าง ATP ในรอบใหม่

 

       จากรูปที่ 4.17 หน่วย T (สีน้ำเงิน) เปลี่ยนโครงสร้างสามมิติเป็นแบบ O ทำให้ปล่อย ATP ที่สร้างขึ้นมา
(ขณะที่เป็น T) ออกไปและมี ADP, Pi ตัวใหม่มาเกาะ ขณะเดียวกันหน่วย L (สีฟ้า) เปลี่ยนเป็น T
ทำให้เร่งปฏิกิริยา ADP, Pi เป็น ATP แต่ยังไม่สามารถปล่อย ATP ออกมาได้ ในเวลาเดียวกัน
หน่วย O (สีเขียว) เปลี่ยนเป็น L จับ ADP และ Pi ได้แน่นพอที่จะไม่ปล่อยให้หลุดออกไปเพื่อเตรียม
ที่จะสร้าง ATP เมื่อรูปร่างเปลี่ยนไปเป็นแบบ T อีกครั้งหนึ่ง

       โดยสรุป ATP ถูกสร้างและปล่อยออกมาเมื่อโปรตอนไหลกลับจากช่องว่างระหว่างเยื่อหุ้มชั้นใน
และชั้นนอกมายังแมทริกซ์ผ่านช่อง Fo ของเอนไซม์
ATP synthase และการสร้าง ATP เกิดขึ้นที่ส่วน F1
(โปรดคลิกเพื่อดูรายละเอียดของเอนไซม์
 ATP synthase เพิ่มเติม)



                                                                                       




  
1. ทำไมจึงเรียก กระบวนการที่เกิดควบคู่กับการถ่ายทอดอิเล็กตรอน
    ว่าออกซิเดทีฟ ฟอสโฟริีเลชัน
2. ไซโตโครม (cytochrome) คืออะไร มีหน้าที่อย่างไร
3.
โคเอนไซม์ Q คืออะไร มีหน้าที่อย่างไร
4. ถ้าไม่มีออกซิเจน กระบวนการถ่ายทอดอิเล็กตรอนจะเกิดขึ้น
    ได้หรือไม่ จงให้เหตุผล
5. การหายใจ (cellular respiration) เหมือนกับการสังเคราะห์ด้วยแสง     (photosynthesis) หรือไม่ อย่างไร
6. ออกซิเจนทำปฏิกิริยาอะไรใน cellular respiration
7. NAD+ และ FAD ที่เกิดขึ้นจากการส่งอิเล็กตรอนเข้ากระบวน
    การถ่ายทอดอิเล็กตรอนถูกนำกลับไปใช้ที่ไหน
8. คำพูดที่ว่า การที่ H+ จะผ่านจากด้านนอกของเยื่อหุ้มชั้นในเข้าไปใน
    ส่วนแมทริกซ์ต้องใช้พลังงานจาก ATP ผิดหรือถูก เพราะเหตุใด
9. ปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นในระบบการถ่ายทอดอิเล็กตรอนเป็นปฏิกิริยาใดบ้าง
10. การไหลของอิเล็กตรอนในระบบถ่ายทอดอิเล็กตรอนเกิดขึ้นได้อย่างไร





backnext